วัคซีนช่วยระงับการระบาดได้แค่ไหน?
วันนี้เป็นอีกวันหนึ่ง ที่จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ของไทยเราเพิ่มเกินหมื่น แต่ในขณะเดียวกัน อีกหลายๆ ประเทศก็เริ่มพุ่งขึ้นสูงเช่นเดียวกัน เช่น อังกฤษที่กำลังเตรียมจะล๊อคดาวน์อีกรอบ หลังจากจำนวนเคสใหม่เพิ่มห้าหมื่นติดกันหลายวัน ฝรั่งเศสที่ขึ้นมาหมื่นสอง
แต่ทั้งที่อังกฤษและฝรั่งเศสนั้นเขามีการฉีดวัคซีนแพร่หลายกว่าเป็นอย่างมาก แล้วเพราะเหตุใดจึงยังมีการระบาดอยู่? ถ้าหากว่าฝรั่งเศสซึ่งใช้วัคซีน mRNA เป็นส่วนมากและสามารถฉีดให้ประชากรได้ถึงกว่า 40% แล้วยังคงมีการระบาดไม่ต่างจากไทย นั่นหมายความว่าวัคซีน mRNA นั้นไม่ได้มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคขนาดนั้นหรือไม่?
คำตอบคือ ไม่จริงเลย และแท้จริงแล้วนี่เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าเพราะเหตุใดวัคซีน โดยเฉพาะวัคซีนแบบ mRNA จึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการต่อสู้กับการระบาดของโลก
แล้วเพราะเหตุใดทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสที่มีจำนวนผู้ฉีดวัคซีนเป็นจำนวนมากแล้ว ยังมีผู้ติดเชื้อต่อวันมากกว่าไทย? ที่เป็นเช่นนี้เพราะเรากำลังเปรียบเทียบจำนวนที่ไม่ได้ normalize เท่ากันสองจำนวน
ลองเปรียบเทียบดูว่า ปี 2020 ในสหรัฐอเมริกามีทารกเกิดใหม่ทั้งสิ้น 3.6 ล้านคน ในขณะที่หมู่บ้านชาวเขาแห่งหนึ่งที่ไม่มีการคุมกำเนิดมีเด็กเกิดเพียงแค่สามสิบคน ถามว่านี่หมายความว่าการคุมกำเนิดในประเทศสหรัฐนั้นล้มเหลวหรือไม่? แน่นอนว่าไม่ เพราะในความเป็นจริงแล้วเราจะต้องคำนึงถึงจำนวนประชากรที่ไม่เท่ากันด้วย (และแม้ว่าตัวเลขประชากรเกิดใหม่ 3.6 ล้านคนจะฟังดูเยอะ แต่แท้จริงแล้วเป็นอัตราการเกิดที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการในรอบ 100 ปี)
เช่นเดียวกัน ในการระบาดของเชื้อไวรัสนั้น แต่ละประเทศนั้นอยู่ในสถานการณ์การระบาดของโรคที่ไม่เท่ากัน ปีที่ผ่านมานั้นประเทศไทยเรามีจำนวนผู้ติดเชื่อค่อนข้างต่ำมาก ในขณะที่สถานการณ์ระบาดหนักที่เรากำลังเจอกันปัจจุบันนี้นั้น ประเทศตะวันตกได้พบกับสถานการณ์นี้ไปตั้งแต่ปีที่แล้ว จึงเท่ากับว่าเรากำลังไล่ตามหลังเขาอยู่ในเรื่องของการระบาด ดังที่เห็นได้จากจำนวนผู้ติดเชื้อรวมของประเทศอังกฤษและฝรั่งเศส ที่อยู่ที่ 5 ล้านกว่าๆ ด้วยกันทั้งคู่ ในขณะที่ของไทยนั้นยังอยู่ที่ประมาณ 4 แสน (ณ วันที่ 19 กรกฎาคม 2021)
และเนื่องจากว่าเชื้อไวรัสนั้นแพร่จากผู้ที่ติดเชื้ออยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องปรกติที่ประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อมากกว่า จะมีผู้ติดเชื้อใหม่ที่มากกว่า เช่นเดียวกับที่ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ประเทศสหรัฐซึ่งมีประชากรถึง 328 ล้านคน จะมีทารกเกิดใหม่ถึงปีละ 3.6 ล้านคน (ซึ่งก็นับว่าน้อยมากอยู่ดี)
ดังนั้น วิธีหนึ่งที่เราอาจจะเปรียบเทียบการระบาดของโรคได้ ก็คือการนำเอาจำนวนเคสติดเชื้อใหม่ หารต่อจำนวนผู้ติดเชื้อที่มีอยู่ปัจจุบัน ซึ่งหากเราทำเช่นนี้ เราก็จะพบว่า ฝรั่งเศสมีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ 67 คนต่อผู้ติดเชื้อ 100,000 คน อังกฤษมี 665 คน ในขณะที่ประเทศไทยนั้นมีผู้ติดเชื้อใหม่อยู่ที่... 2375 คนในทุกๆ วัน ต่อผู้ติดเชื้อทุกๆ 100,000 คนเท่ากับว่าเรามีอัตราการติดเชื้อใหม่ต่อการติดเชื้อเดิมมากกว่าอังกฤษถึงเกือบ 4 เท่า และมากกว่าฝรั่งเศสถึงกว่า 40 เท่า
ความแตกต่างของการระบาดเกิดขึ้นจากอะไรได้บ้าง? แน่นอนว่ามีหลายปัจจัย อาจจะเป็นเพราะว่าเขา social distancing ได้ดีกว่าเรา? (ไม่น่าจะใช่ เพราะเขาเริ่มที่จะปลดล๊อคดาวน์ และไม่สวมหน้ากากกันแล้ว) การตรวจพบโรคเยอะกว่า มี antigen rapid test ที่แพร่หลายกว่า (ซึ่งควรจะทำให้ผู้ติดเชื้อทั้งหมดเยอะเพิ่มตามไปด้วย) โหลดของระบบสาธารณสุข หรืออื่นๆ
แต่ไม่ว่าเราจะพยายามอธิบายความแตกต่างของตัวเลขที่เกิดขึ้นอย่างไร ก็ไม่น่าจะสามารถอธิบายได้ทั้งหมด สิ่งหนึ่งที่เราแทบจะปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือ "การฉีดวัคซีน" เพราะปัจจุบันในไทยมีประชากรเพียง 4.93% ที่ได้รับวัคซีนครบสองโดสแล้ว ในขณะที่อังกฤษและฝรั่งเศสอยู่ที่ 53.6% และ 40.4% ตามลำดับ
ไม่เพียงเท่านี้ หากเราลองนำข้อมูลระหว่างเปอร์เซ็นต์ในการฉีดวัคซีนครบสองเข็มของแต่ละประเทศ เทียบกับอัตราการติดเชื้อใหม่ต่อ ประชากรติดเชื้อ 100,000 คน เราจะได้กราฟดังภาพ
จากกราฟ จะเห็นได้ว่าแม้ข้อมูลจะมีการกระจายตัวพอสมควรตามสถานการณ์ที่แตกต่างกันในโลกของความเป็นจริง แต่โดยรวมแล้วไม่มีประเทศใดที่มีประชากรฉีดวัคซีนเป็นจำนวนมาก ที่มีอัตราการติดเชื้อที่สูงต่อประชากรติดเชื้อเดิม และยิ่งมีอัตราส่วนประชากรที่ฉีดวัคซีนมีเพิ่มมากขึ้นเท่าไร อัตราการแพร่เชื้อต่อของประชากรติดเชื้อก็จะมีแนวโน้มที่จะยิ่งลดลงเพียงเท่านั้น
หากเราเทียบกับประเทศเช่น สหรัฐ ที่เคยมีการระบาดมากที่สุดในโลกเมื่อไม่ถึงหนึ่งปีที่แล้ว ปัจจุบันสหรัฐก็ยังมีประชากรติดเชื้อมากอยู่ถึง 34 ล้านคน (มากกว่าไทยถึง 100 เท่า) แต่ทุกวันนี้ด้วยการระดมฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงเช่น mRNA ทำให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตปรกติ คนส่วนมากไม่สวมหน้ากาก สามารถจัดคอนเสิร์ต และฉลองวันชาติได้ แต่ก็ยังมีจำนวนคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นเพียงแค่วันละ 35,000 คน ซึ่งมากกว่าไทยเพียง 3 เท่า เท่ากับว่ามีอัตราการแพร่เชื้อน้อยกว่าไทย 20-30 เท่าเลยทีเดียว
บางคนอาจจะบอกว่า ก็ยังมีคนอีกเป็นจำนวนมากดที่แม้จะได้รับวัคซีนแล้ว แต่ก็ยังติดเชื้ออยู่ดี และต่อให้ประเทศที่ฉีดวัคซีนเยอะแล้ว ก็ยังพบคนที่วัคซีนครบติดเชื้อเพิ่มขึ้นทุกวันๆ
แต่แท้จริงแล้ว การพบผู้ที่ได้รับวัคซีนครบแต่ยังติดเชื้อได้นั้น เป็นสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นอยู่แล้ว และแท้จริงแล้วเป็นสัญญาณที่ดีของการเข้าสู่การยับยั้งการระบาด ลองจินตนาการดูว่า ประเทศหนึ่งที่คนสูบบุหรี่จัดมาก จนมีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งปอดเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนมากสูบบุหรี่ด้วยกันทั้งนั้น ในขณะที่อีกประเทศหนึ่งนั้นห้ามสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด และไม่มีประชากรคนใดในประเทศเลยที่เคยสูบบุหรี่ เราก็จะพบว่าในประเทศที่สองนั้น มีอัตราส่วนของผู้เป็นมะเร็งปอดที่ไม่เคยสูบบุหรี่เลยมากกว่า (เพราะไม่มีใครเคยสูบบุหรี่เลย)
จึงเป็นเรื่องปรกติที่ประเทศที่ฉีดวัคซีนมากกว่า จะพบผู้ติดเชื้อที่ได้รับวัคซีนครบแล้วเป็นสัดส่วนที่มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากว่าไม่มีวัคซีนใดที่สามารถป้องกันโรคได้ 100% แต่หากเราดูข้อมูลจริงๆ แล้วเราจะพบว่าอัตราผู้ติดเชื้อที่ได้รับวัคซีนครบแล้วนั้นมีน้อยกว่าสัดส่วนประชากรที่ได้รับวัคซีนแล้วเป็นอย่างมาก
ซึ่งนอกจากการป้องกันการแพร่เชื้อแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่วัคซีนทุกชนิดทำได้ดีก็คือ การลดอาการของโรคและอัตราการเสียชีวิต ซึ่งเราสามารถเปรียบเทียบได้โดยดู "doubling time of confirmed deaths" หรือ "ต้องใช้เวลากี่วันก่อนที่จำนวนผู้เสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า" ซึ่งหากเราเปรียบเทียบกัน เราจะพบว่า
ไทย: 28 วัน
อังกฤษ: 216 วัน
สหรัฐอเมริกา: 216 วัน
ฝรั่งเศส: 222 วัน
ซึ่งจากข้อมูลที่มีอยู่ในตารางนั้น ปัจจุบันมีเพียงห้าประเทศ ที่มี death doubling rate เร็วกว่าประเทศไทย นั่นก็คือ เวียดนาม ฟิจิ อูกานดา กัมพูชา และนามิเบีย
ซึ่งหากเทียบสิ่งที่แตกต่างระหว่างประเทศที่ "ทำได้ค่อนข้างดี" และประเทศที่ "ยังต้องปรับปรุง" แล้ว ไม่ว่าจะด้วยเงื่อนไขใดก็ตาม สิ่งหนึ่งที่จะต้องพบอยู่เป็นประจำที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ก็คือ "อัตราในการฉีดวัคซีน"
แม้ว่าเราจะทำได้ค่อนข้างดีในปีที่ผ่านมา เนื่องจากประชาชนให้ความร่วมมือ มีวินัยที่ดี แต่สิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะทำได้ในยุคปัจจุบันที่มีวัคซีนป้องกันโรคนั้น ก็คือการหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพฉีดครอบคลุมให้กับประชาชนให้มากที่สุด ให้รวดเร็วที่สุด
เพราะในอีก 28 วัน จำนวนผู้เสียชีวิตที่ทะลุร้อยในวันนี้ จะเพิ่มขึ้นมาเป็นสองร้อย และสี่ร้อย ก่อนที่จะทะลุพันไปในที่สุด
ที่มาข้อมูล: ourworldindata.org (ข้อมูลวันที่ 17 กรกฎาคม 2021 โดยมีการเพิ่มเติมข้อมูล percent vaccinated ของอังกฤษและฝรั่งเศสเข้าไปเพื่อเปรียบเทียบ)
หมายเหตุ: ในข้อมูลมีเวียดนามด้วย ซึ่งอัตราการติดสูงกว่าไทยมาก แต่เลือกไม่นำมาแสดงในกราฟเพื่อให้เห็นความสัมพันธ์ของประเทศที่เหลือง่ายขึ้น
หมายเหตุ2: ในกรณีนี้นั้นเป็นการ normalized ด้วย total cases ที่เคยติดมาทั้งหมด ซึ่งไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง แท้จริงแล้วควรจะ normalized ด้วย active case ซึ่งเป็นความผิดพลาดของผู้เขียนเอง